วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

วิชา อาถรรพณ์

สิทธิการิยะ จะกล่าวถึงลัทธิไสยศาสตร์ของพราหมณ์ ซึ่งได้จำแนกแบ่งพระเวทไว้เป็น 3 ประการ ดังที่เรียกกันว่า ไตรเพท คือ 1. ฤคเวท เป็นคำฉันท์ สำหรับสวดอ้อนวอน และสรรเสริญพระเป็นเจ้า 2. ยชุรเวท เป็นร้อยแก้วใช้สำหรับท่อง ในการบ่วงสรวงบูชาพระเป็นเจ้า 3. สามเวท เป็นคำฉันท์ สำหรับสวดในพิธีถวายนำโสม
๑ นอกไปกว่านี้ พระเวททั้ง 3 ประการนี้ ยังมีคัมภีร์พระเวทอีกคัมภีร์หนึ่ง ซึ่งเป็นของที่รวบรวมเพิ่มเติมขึ้นอีกภายหลังจากพระเวททั้ง 3 นั้น คือ อาถรรพณ์เวท อันเป็นพระเวทที่ประกอบด้วย คาถา อาคม มนต์ และเลขยันต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ซึ่งมีอิทธิปาฏิหาริย์ สามารถที่จะบันดาลให้เป็นไปได้ตามที่ปรารถนา คัมภีร์อาถรรพณ์เวทนี้ นับว่าเป็นบ่อเกิดของคาถาอาคมต่าง ๆ ที่ได้ทรงจำเล่าเรียนกันสืบต่อกันมา ครั้นเมื่อลัทธิไสยของพราหมณ์ที่แพร่หลายเข้ามาระคนกับลัทธิพุทธศาสตร์ บรรดาคณาจารย์ผู้รู้จึงจึงได้พากันดัดแปลงคาถามนต์ ต่าง ๆ ที่มีในลัทธิไสยศาสตร์ให้เข้ากับลัทธิพุทธศาสตร์ โดยนำเอาพระพุทธมนต์ และเถรมนต์ เข้าไปแทรกแซงแก้ไขให้เหมาะสม เท่าที่จะใช้กับลัทธิทางพระพุทธศาสตร์ได้ และเป็นสื่งที่เชื่อถือกันสืบต่อมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
๑ การใช้คาถาอาคมบริกรรมภาวนานั้น นับเป็นวิธีการทำสมาธิแผนหนึ่ง ซึ่งถ้าเมื่อกระทำจิตให้เป็นสมาธิได้แล้ว ก็ย่อมจะบังเกิดความขลัง คือเกิดกำลังงานทางจิตขึ้น และเมื่อจะใช้กำลังกระแสจิตนั้นให้เป็นไปในทางใดนั้น ก็สุดแล้วแต่เวทมนต์คาถาที่บริกรรมภาวนานั้นจะโน้นน้าวให้เป็นไป ย่อมเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า กระแสจิตของมนุษย์เรานี้ สามารถที่จะแผ่ซ่านออกไปจากร่างกายได้ กระแสที่แผ่ซ่านออกไปนี้ ออกไปได้ 2 ประการคือ ประการที่ 1 แผ่ซ่านออกไปได้จากกระแสที่เป็นไปตามธรรมชาติ โดยมิได้เจตนาจะให้เป็นไป ประการที่ 2 แผ่ซ่านออกไปโดยการฝึกฝนบังคับมุ่งเจตนาส่งออกไป ( ทั้งนี้เป็นไปด้วยการหัดทำสมาธิ )
๑ และการใช้เวทมนต์คาถาต่าง ๆ ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อาถรรพณ์เวทนั้น มาบริกรรมภาวนาเพื่อหัดสร้างสมาธิให้เกิดกำลังงานทางจืต และมุ่งส่งกระแสจิตนั้นไป เป็นวิธีการอันหนึ่งที่ทำให้เกิด การกระทำยำยี หรือลัทธิมายาศาสตร์ขึ้น เช่น ทำเสน่ห์ให้บังเกิดความรักใคร่หลงไหล ทำให้บังเกิดความเกลียดชัง ทำให้พ้นภัย หรือมีชัยชนะเมื่อเกิดคดีในโรงในศาล กระทำสาปแช่งให้คู่ศัตรูมีอันเป็นไปต่าง ๆ ฯลฯ วิธีการกระทำยำยีนี้ แบ่งเป็น 2 ชนิดด้วยกันคือ 1. กระทำโดยถึงตัว 2. กระทำโดยมโนคติ
การกระทำประการแรก คือ กระทำโดยตรงถึงตัวนั้น ยังจำแนกออกไปได้อีก โดยอาศัยความอยู่ใก้ลชิด และอยู่ห่าง ถ้าหากอยู่ระยะใก้ลชิด การกระทำนั้นก็ง่ายเข้า มีการใช้ผงที่ประกอบขึ้นด้วยเวทมนต์ เช่น ผงอิธะเจ ผงมหาราช ผงมหาละลวย ฯลฯ เหล่านี้ลอบใส่ของกินให้กินเข้าไป หรือมิฉะนั้นก็ใช้คาถาเสกของกินให้กิน บางทีก็ใช้ขี้ผึ้งนำมันดีด หรือทาให้ต้องตัว เพื่อต้องการจะให้รัก และให้ตามมา หรือมิฉะนั้นก็ใช้เสกมือลูบหลัง หรือบริกรรมคาถาจับมือมิให้ร้อง เหล่านี้เป็นการกระทำโดยตรงถึงตัว และเป็นระยะที่ใก้ลชิด แต่ถ้าหากเป็นระยะห่าง โดยที่เข้าถึงตัวใก้ลชิดมิได้ ก็ใช้เสกเป่าอาศัยกระแสลมให้พัดเข้าไปถูกต้องตัว เสกคาถาเป่ามนต์มหาละลวย ให้เข้าไปดลจิตดลใจให้งงงวยหลงรักใคร่ ตลอดจนใช้อำนาจภูตผีให้เข้าไปสิงสู่ หรือปล่อยคุณไสยเข้าไป จัดว่าอยู่ในลักษณะการกระทำโดยตรงถึงตัวทั้งนั้น หากแต่ว่าเป็นระยะห่าง
การกระทำประการที่ 2 คือการกระทำโดยมโนคตินั้น คือ การกระทำระยะห่าง โดยที่มิสามารถจะเข้าถึงตัวได้ จึงจำต้องอาศัยมโนคติ วิธีทำโดยมโนคตินี้คือการสร้างมโนภาพสมมติขึ้น เช่นเราประสงค์ให้ใคร่สักคนหนึ่งเกิดความเมตตารักใคร่ในตัวเรา ด้วยการใช้เวทมนต์คาถาเป็นเครื่องบันดาลให้เป็นไป เราต้องสร้างมโนภาพในมโนคติของเราให้บังเกิดเป็นรูปร่างของคนผู้นั้นจนเห็นได้ชัดเจน ตลอดจนอากัปกิริยาที่เขาจะแสดงความรักใคร่ต่อเรา วิธีทำมโนคตินี้ เป็นวิธีที่ต้องพยายามกระทำสักหน่อย จำต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมอื่นช่วยด้วย เช่น สถานที่ และเวลาที่จะกระทำนั้น ต้องเป็นที่สงัด และสงบเงียบ เป็เครื่องช่วยกระทำให้เราเห็นภาพได้ในดวงตาที่หลับ เหนี่ยวโน้มให้ภาพนั้นปรากฎในมโนคติได้นานเท่านาน ซึ่งวิธีนี้ถ้าจะเรียกตามแบบสมถกัมมัฏฐาน ก็คือการทำอุคคหนิมิตให้บังเกิดขึ้นนั้นเอง จากนี้ก็เข้าขั้นปฏิภาคนิมิต คือเมื่อผ่านมโนคติมาแล้ว ต่อไปก็ใช้มโนยิทธิ กล่าวคือ ตั้งความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำให้ภาพนั้นมีจริงขึ้นมาเป็นจริงขึ้นมา พยายามนึกคิดว่าภาพที่เราได้เห็นนั้น เป็นภาพตัวเขาอย่างแท้จริง มิใช้เป็นภาพที่ทำขึ้นมาหลอกเอาตัวเราเอง ทำสมาธิให้แน่วแน่อยู่กับภาพนั้นอย่างเดียว เพื่อเป็นเครื่องได้ช่วยให้เกิดสมาธิ และเพ่งเล็งอยู่กับรูปนิมิตนั้นได้โดยชัดเจน และเก็บมโนภาพนั้นไว้นานพอเพียง จึงได้มีการทำรูปแทนตัวขึ้น โดยการปั้นชึ้นจากขี้ผึ้ง หรือดิน บางทีก็ใช้เขียนรูปแทนก็มี ( สมัยนี้มีการถ่ายรูป ฉะนั้นเราจะใช้รูปที่เขาถ่ายมาประกอบการกระทำก็ได้ ) วิธีการทำรูปขึ้นแทนตัวนี้ มักจะนิยมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเนื่องมาจากผู้นั้น เพราะมีกระแสของผู้นั้นติดอยู่ เช่น ใช้รอยเท้าที่ผู้นั้นเดินยำไป ดินรอยเท้านี้ ที่จะใช้ได้ก็แต่เวลาที่เขามิได้สวมรองเท้าเดินยำลงไปบนดินด้วยเท้าเปล่าเท่านั้น จึงจะใช้ได้ หรือมิฉะนั้นก็ใช้เสื้อผ้าของเขาที่เคยสวมใส่ เอามาเป็นเครื่องประกอบในการกระทำ เช่น เอามาผูกเป็นรูปหุ่น หริอเขียนรูปของเขาลงในนั้น เฉพาะที่ใช้ขี้ผึ้งปั้นเป็นรูป ก็มักใช้ขี้ผึ้งปิดปากผี อาศัยอำนาจแรงภูตผีปีศาจ เข้าช่วย ซึ่งวิธีการกระทำโดยมโนคตินี้แหละ ที่เป็นมูลเหตุให้เกิด การฝังรูปฝังรอย และนั่งเทียน....๑
Posted by Picasa

ไม่มีความคิดเห็น: