วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระคาถามหานิมิต

พุทโธ พระอะระหัง พุทธะนิมิตตังอิติ ฯ
ให้ภาวนาก่อนนอน ถึงแม้จะมีเหตุโภยภัยสิ่งไรก็บังเอิญรู้สึก ทั้งเกิดสวัสดิมงคลเทพเจ้าคุ้มครองรักษาและเกิดลาภสการด้วย ต้องประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ภาวนาพระคาถานี้ ขอนิมิต
อ้างอิง
เทพย์ สาริกบุตร.คัมภีร์พุทธรัตนมหาเวทย์ .พระนคร:อุตสาหกรรมการพิมพ์,2498.
อาถรรพณ์เวท

มนต์รักลูกสวาทเป็นมหาเสน่ห์หญิงรักชายหลง

เมตตา เสน่ห์หา ค้าขายดี สาลิกาคืนรัง
รักคืนเรือน ลูกพิศวาส (ลูกสวาท) ของพ่อแม่
ลูกสวาทที่ใช้มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ
ลูกสวาทแบบจมและลูกสวาทแบบลอย
แต่ลูกสวาทแบบจมหายากและให้ความขลัง
และมีพลังในเรื่องมหาเสน่ห์แรงเป็นสองเท่า
และเมื่อนำไปแช่น้ำมันจันทน์
ยอดรัก(ยอดกิ่งต้นรัก)
ยอดหลง(ยอดกิ่งต้นกาหลง)
ยอดนิยม(ยอดกิ่งมะยม)
ดอกบานมิรู้โรย(สาวอมตะ/สาวสองพันปี)
กลีบยอดดอกทานตะวันเจ็ดกลีบ
ปรอท(ทำอะไรเร็วดังปรอท)
ปลุกเสกด้วย
มนต์บ่วงนาคราชมัดใจ
มนต์รักพระพาย
พระคาถากฤษณะมนต์
“ กฤษณะราคะ ชนะจิตตัง มนุษะยานัง เสพพะสุขัง “
พระคาถามนต์รักเรียกคู่
จิตติจิตตัง จิตอุณหัง ปิยังมามะ นามะนังสะมาโส ยุตตะโถยุตตะถะ
นามะแห่งพระผู้เป็นเจ้าพึงหมาย ให้กูเรียกจิต (อ้าย… หรือ อี….) มาสถิตอยู่กับกูนี้
เมื่อคนรักกลับมาแล้วให้สวดวิกัป
(เชพ) ไว้ไม่ให้ไปอีก
นานูปะติถานัง วุตตะโยอัคคะโต อุทาหะระอันใด มึงจะไปไหนบ่มิได้แล้ว
อะยังอัตสารูปาพึกสติ ย่อมให้มึงตรึงจิตอยู่กับกูนี้
เคล็ดลับนำไปเลี่ยมแขวนคอและกำกับด้วย
พระคาถากำกับลูกสวาท
จิตติจิตตัง วิญญานัง มนุษย์ษะยณัง ภวังค์กาเม สรรพเสน่หา สรรพมนตรา สรรพวิชา
กฤษณะประกาศิต ธิ เม
อาถรรพณ์เวท

พระคาถานาง (ชะนี) โมราเรียกผัว

ท่านให้หาหุ่นชะนี(ผ้าแบบงานบุญทอดผ้าตุ๊กตายัดนุ่น)

หรือหุ่นฟาง หุ่นตุ๊กตาเรซิ่น

เขียนชื่อคนรักไว้ตรงหัวใจหุ่นชะนี

เรียกจิตวิญญาณพร้อมวิกัปไว้

เขียนยันต์นะกลับ(หัวคว่ำ)ทับลงไป

คลึงด้วยน้ำมันจันทน์หอมผสมว่านยามหาเสน่ห์ร้อยแปด

สวดพระคาถาชะนีเรียกคู่

กงเดียอัมเตย กูเต็งกายี อังคะนาเดโดย

กูตีกาเนง อีมีกาตู กูตีกาเดย

อาถรรพณ์เวท

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิชาสุริยัน

1.อาบน้ำชำระกายให้สะอาด
2.กายา-จิตใจต้องพร้อม
3.นำโคมไฟสีแดง มา1 อย่างโคมไฟสีแดงที่ดี ต้องสีสดใสไม่หมองค้ำ และต้องกลางๆ
4.เพ่งโคมไฟสีแดง และภาวนา ว่า สุริโยๆ หรือ อาทิตย์ก็ได้
ตามถนัดอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับ สุริยัน และเวลาเพ่งและหลับตาจดจำ
ภาพที่เห็นซักพักคอยลืมตามาอีกที่ และหลักสำคัญที่จะสำเร็จวิชานี้ คือ
ทางสายกลาง
5.หากเห็นนิมิตร เป็นลูกแก้วที่ทองแสงสีทองหรือสีแดงเจิตจรัส หรือดวงอรุณ
อย่ายึดติดเป็นตัวตน เฉยกับๆมันเป็นธรรมชาติ
6.วิชานี้ฝึกได้เฉพาะเพศพ่อ
7.หากว่าภาพนิมิตรโผล่มาตลอดหรือจดจำเป็นนิมิตรได้แล้วก็อธิฐาน
ให้บังเกิดเป็น บุญญานุภาพ ฤทธานุภาพ พลานุภาพพร้อมอธิฐานเชิญ
น้ำอมฤตอรุณรุ่งโรจน์อันบริสุทธิ์ หรือน้ำอมฤตจากพระศิวะ
ก็ได้เพราะท่านจะหนักมาทางนี้ ให้ไหลเข้ามาซึมซับเข้าสู่
กาย จิตใจ ปัญญา วิญญาณ จักระทั้ง 7 กายทิพย์ วาจา ของเรา
ให้สดใสรุ่งเรืองรุ่งโรจน์
8.หากสำเร็จจะดีนักแล แต่ที่สำคัญต้องไหลไปสู่อย่างที่ข้อ 7 กำหนดไว้ อย่าปฎิเสธ
ไม่งั้นไม่สำเร็จ
คุณประโยชน์วิชาสุริยัน
1.ทำให้มีเดชานุภาพ
2.น้ำเลี้ยงหัวใจจะเป็น น้ำอมฤตอรุณรุ่งโรจน์บริสุทธิ์ มาเลี้ยง
จิตใจของเรา อย่างข้อ 8ที่ว่ามาอย่าปฎิเสธ และยังต้อง
ซึบซับไปถึง กาย จิตใจ ปัญญา วิญญาณ จักระทั้ง 7 กายทิพย์ วาจา
ขอเราให้ สดใสรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ น้ำอมฤตอรุณรุ่งโรจน์บริสุทธิ์ ก็คือ
ความสงบในจิตใจและสมาธิพร้อมคำอธิฐานขอนั้นเอง
3.ได้สำเร็จอิทธิบาท 4ได้ชีวิตที่เป็น อมตะ แต่ต้องได้ข้อ 2 เสียก่อน
คือ น้ำอมฤตอรุณรุ่งโรจน์บริสุทธิ์ นั้นแหละความเป็นอมตะ
ที่สำคัญต้องไหลและซึบเข้าสู่ กาย จิตใจ ปัญญา วิญญาณ จักระทั้ง 7 กายทิพย์ วาจา ขอเราให้สดใสรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ เป็นอมตะพร้อมกันด้วยอย่าฉะเพราะเจาะจง
4.ได้เป็นผู้ทรงญาณซึ้งเป็นระดับที่สูงสุดในโลกียะญาณ สามารถแสดง
ฤทธิ์ในด้าน เตโชกสิณ โลหิตกสิณ วาโยกสิณ โอทากสิณ ปีตกกสิณ
ซึ้งต่างจกผู้ทรงญาณในโลกียะญาณสูงสุดอื่นๆ
ข้อห้าม
1.ห้ามฝึกวิชาจันทรา
2.ห้ามผู้หญิงฝึก
3.ดวงกสิณที่ดี ห้ามมีรอยขีดข่วน หรือมืดทึบ
ข้อคิดผู้ฝึกวิชาสุริยัน
1.ควรฝึกอาโปกสิณมาก่อน
2.คนที่มีรอยสักหากมีครูบาอาจารย์ให้ระวัง เพราะวันไหนของขึ้น
สุริยันจะไปเสริมความแรงให้ของ
อาถรรพณ์เวท

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คาถาเจิมบ้าน เจิมรถ

เสกแป้งที่จะเจิมเสกว่า อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ( 9 คาบ)

ครั้งแรกให้เอามือกวาดตรงที่จะเจิม แล้วว่า
“ พุทธังปัจจักขามิ ธัมมังปัจจักขามิ สังฆังปัจจักขามิ ” เอามือกวาด 3 ครั้ง

เสร็จแล้วเอามือวางแปะลงตรงที่จะเจิมนั้นว่า
“ ปะฐะมัง สิริสังชาตัง ทุติยัง อังคะเมวะจะ ตะติยัง ฐานะเมวะจะ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ”

แล้วจึงเจิมดังนี้ เจิมโดยเอานิ้วมือขวา จิ้มลงที่แป้งซึ่งเสกเตรียมไว้แล้วเจิมว่า
“ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ”

ทั้งนี้จะมี 9 จุด แบ่งออกเป็น 3 แถว
แถวล่างมี 4 จุด, แถวกลางมี 3 จุด, แถวบนมี 2 จุด, ยอดสุดเป็นตัวอุณาโลม (คล้ายๆเลข 9 ไทย)
เจิมจุดหนึ่งก็บริกรรม “ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ” ครั้งหนึ่งจนกว่าจะครบ 9 จุด บริกรรม 9 ครั้ง
ส่วนตัวอุณาโลมเจิมไปบริกรรมไปว่า

“ อุณาโลมา ปะนะชานะเต จงมาบังเกิดเป็น อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ”

เสร็จแล้วให้เอามือกุมครอบจุดทั้งหมด แล้วภาวนาคาถา มงกุฏพระพุทธเจ้า ว่า

“ อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนาพุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ ” (9คาบ)

อาถรรพณ์เวท

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

สาริกาลิ้นทอง

สาริกาลิ้นทอง ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลมาจนถึงปัจจุบัน สาริกาลิ้นทอง ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม โชคลาภ หากผู้ใดมีไว้สักการะบูชา ย่อมก่อเกิดความเป็นสิริมงคล ทั้งแก่ตนเองและครอบครัว ช่วยให้ค้าขายดี บังเกิดโชคลาภ เงินทองไม่ขาดมือ ตลอดจนมีแต่คนรักใคร่เมตตา เจรจามีแต่คนเชื่อถือ แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวงบังเกิดแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งในขณะทำพิธีปลุกเสกนั้น บารมีของสาริกาลิ้นทอง จะลงมาอยู่ในตัวจริงหรือไม่จริงนั้น ในขณะเข้าพิธีทุกท่านจะมีปฏิกิริยาอาการต่างๆ แสดงออกมาเหมือนดังในภาพที่นำมาแสดง เมื่อลงจนเต็มแล้วก็จะมีเสียงคล้ายนกหรือเวทย์มนต์คาถา ออกมาจากปากของตนเองได้ และถ้าหากผู้ใดมีสิ่งต่างๆที่ไม่ดี สิงสู่อยู่ในร่างกายไม่ว่าจะเป็นคุณไสย์คุณผีคุณของใดๆ หรือมีวิญญานเจ้ากรรมนายเวรอะไรอยู่ ก็จะแสดงออกมาให้ทราบ หรือถูกขับไล่ออกมาทันทีในขณะเข้าพิธี ในขณะที่ทุกท่านเข้าประกอบพิธีอยู่นี้ท่านก็จะยังคงมีความรู้สึกตัว และมีสติอยู่ตลอดเวลา เหมือนขณะที่ยังไม่เข้าพิธีทุกประการ เพียงแต่ฝืนปฏิกิริยาอาการต่างๆที่เกิดไม่ได้เท่านั้นเอง จนกว่าจะเสร็จพิธีจึงไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว เพราะมิใช่การทรงเจ้าหรือการสะกดจิตใดๆทั้งสิ้น หากแต่เป็นวิชาภาวนาธรรม อาจารย์ฉัตรชัยท่านจะเน้นสอนแต่ในเรื่องบุญบาป เรื่องเวรกรรม คาถาสาริกาลิ้นทอง พุทธา อะเนนา มะลิยา สุสังคะเยมิ พุทธา อิริมะลิยา สุสังคะเยมิ พุทธา อิรปะโย เคมะคุณนะ ปักเขสะเมมะมิ อุนาโลมา ปันนะ วิชายะเต (ใช้สวดภาวนาหากต้องการให้คนรักใคร่ พูดจาเป็นเสน่ห์ ตอนท่องถึงคำว่า มิ ก็ให้แตะที่ลิ้นด้วยทุกครั้ง) ประวัติคาถา และความเป็นมาของ พระคาถา: คาถา ความหมายของคำว่า “คาถา”และวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบัน ประวัติ คาถา และความเป็นมาของ พระคาถา การใช้ "คาถา" ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ คาถาเป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจาก การสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3(ตติยสังคายนา) แล้ว พระพุทธศาสนา ในประเทศอินเดียเริ่มร่วงโรยลง และต่อมาได้ย้ายไปประดิษฐานในลังกา ศาสนาพุทธกับพราหมณ์ในอินเดียสมัยนั้นได้ผสมผสาน กันมา จนเกิดมีลัทธิพุทธตันตระ (ลัทธิพุทธศาสนาอันเกี่ยวกับการใช้คาถา-อาคมพระคาถา)เกิดขึ้นอีกลัทธิหนึ่ง ศาสนาพราหมณ์ในขณะนั้น มีความมั่นคงเลื่อมใส ในลัทธิไสยศาสตร์มาก มีการใช้เวทมนตร์"คาถา"เป่าพ่นปลุกเสกและลงเลขยันต์ ประกอบ อาถรรพณ์ต่างๆแม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ใช่ว่าจะปฏิเสธเสียทีเดียว เพราะ พระพุทธศาสนาเองก็ยังมีคุณอัศจรรย์ ที่จัดเป็น ปาฏิหาริย์ไว้ 2 อย่าง คือ 1. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนที่เป็นอัศจรรย์ 2. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ที่เป็นอัศจรรย์ถึงกับ พระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่อง พระโมคคัลลานะ เถระไว้เป็น ยอดของพระภิกษุที่ทรงอิทธิฤทธิ์หากแต่พระองค์ไม่ทรงยกย่องอิทธิปาฏิหาริย์เท่ากับอนุสาสนีปาฏิหาริย์ การใช้เวทมนตร์คาถานั้น ผลสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ดวงจิตสำรวมเป็นสมาธิ และสมาธินี้ท่านจัดบนฐาน แห่ง วิปัสสนาญาณถึงแม้หาก ว่าปุถุชนเราจะบรรลุได้อย่างสูงไม่เกินฌานสมาบัติก็ตามกระนั้นก็สามารถที่จะแสดง อิทธิฤทธิ์ ได้ตามภูมิของตน เช่น พระเทวทัตต์หนแรกที่เธอได้รูปฌาน เธอก็ยังสามารถบิดเบือน แปลงกายกระทำอวด ให้อชาตศัตรูกุมารหลงใหลเลื่อมใสได้ ส่วนอารมณ์ของรูปฌานนั้น ท่านใช้กสิณบ้างใช้คาถาบริกรรมบ้าง สุดแต่นิสัยของผู้บำเพ็ญปฏิบัติ โดยเฉพาะ ที่ใช้คาถาบริกรรมนั้น ผู้บริกรรม จะรู้ถึงเนื้อความของคาถาที่บริกรรมนั้น หรือไม่ก็ตามนั่นมิใช่สิ่ง ที่เป็นปัญหาที่สำคัญเพราะความมุ่งหมายต้องการแต่จะให้สมาธิเท่านั้น เพื่อผลในทางอิทธิปาฏิหาริย์ที่ตนมุ่งหวังปรารถนา พระคาถาและการทำสมาธิแบบนี้ ได้เจริญ แพร่หลาย มากขึ้น ได้เกิดมีคณาจารย์มุ่งสั่งสอนเวทมนตร์กัน และได้ดัดแปลงแก้ไขวิธีการทางไสยศาสตร์ ของพราหมณ์มาใช้ โดยคัดตัดตอนเอาเนื้อมนต์ของพราหมณ์นั้นออกเสีย บรรจุพระพุทธมนต์ แทรกเข้าไปแทน เพราะมาคิดเห็นกันว่ามนต์พราหมณ์ยังเรืองอานุภาพถึงอย่างนี้ ถ้าหากว่า เป็นพุทธมนต์ คงจะยิ่งกว่าเป็นแน่ ฉะนั้นในการใช้เวทมนตร์คาถาที่พวกเราพุทธศาสนิกชนปฏิบัติกันทุกวันนี้ จึงล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธมนต์ที่ท่าน โบราณาจารย์ดัดแปลง แก้ไขเลียนแบบอย่างวิธีทางลัทธิไสยศาสตร์เดิมมาเท่านั้นหาใช่เป็นลัทธิไสยศาสตร์ ของพราหมณ์ดังที่บางท่านเข้าใจกันไม่ การรวบรวมคัมภีร์พระเวทพระคาถา อย่างจริงจังเกิดขึ้นในสมัย เจ้าพระคุณพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ฯ แต่เมื่อครั้ง ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสัจจญาณมุนีอยู่นั้นพระคุณท่านเป็น ผู้สนใจในศาสตร์ ประเภทนี้อยู่มาก จึงได้พยายามรวบรวมขึ้นไว้จากสรรพตำราต่างๆ ส่วนมากเป็นของ สมเด็จ พระสังฆราช (แพ) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาจารย์ของท่าน อันได้รับสืบต่อมาจาก สมเด็จพระวันรัต (แดง) ท่านได้ตั้ง ปณิธานที่จะให้วิชาเหล่านี้ได้เผยแพร่ต่อไปเพราะเกรงว่าจะสาบสูญเสียหมด ในการรวบรวมคัมภีร์พระเวท พระคาถาเหล่านี้ข้อความบางแห่งพอ ที่จะมี ต้นฉบับสอบทาน ก็ได้จัดการ สอบทานแก้ไข ให้ถูกต้อง ตามต้นฉบับเดิม ซึ่งได้คัดลอกสืบต่อกันมา แต่ก็ยังมีอักขระพระคาถา เนื้อมนต์นั้นบางทีก็มีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง สำหรับบทที่หาต้นฉบับ สอบทานไม่ได้ ก็คงไว้ ตามรูปเดิม ซึ่งถ้าหากได้ผ่านสายตาท่าน ผู้รู้ทั้งหลายก็ได้โปรด กรุณา แก้ไขต่อเติมเสีย ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้เป็นตำราที่ถูกต้องบริบูรณ์ ดุจต้นฉบับ ของเดิมเพื่อเป็นการเทิดทูน วิทยาการอันประเสริฐ รวมทั้งได้ดำรงคงอยู่เป็นแนวศึกษาของชั้นหลังสืบต่อไป คาถา รวมพระคาถา ความหมายของคำว่า “คาถา” พระคาถา และวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบันการใช้ "คาถา" ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ คาถาเป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต ในนี้จะมีบท คาถาต่างๆ ทั้ง คาถาชินบัญชร คาถาทางเมตตามหานิยม คาถาทางคงกระพันชาตรี คาถาแคล้วคลาด คาถาแผ่ส่วนกุศล คาถาแผ่เมตตา คาถากันของไม่ดี หัวใจพระคาถาต่างๆ คาถาบูชาเทพเจ้า คาถาบูชาพระพุทธรูปต่างๆ ซึ่งคาถาต่างๆเป็นที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ สมัยก่อนคนจะใช้คาถาต่างๆได้สัมฤทธิผลกันมากเนื่องจากมีความเชื่อความศรัทธาและสัจจะเป็นสำคัญ ส่วนการท่องหรือตัวอักษรอักขระการออกเสียงต่างๆ อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง ส่วนสำคัญอยู่ที่ความมั่นใจและตั้งมั่นมากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆแค่ บทสวดมนต์ต่างๆการออกเสียงในส่วนของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน ก็ต่างกันแล้ว แต่ทำไมถึงมีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันละ ก็เพราะความตั้งมั่น ไม่สงสัยในครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนมา คาถาใด ๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเราจะต้องท่องให้จำได้ ก็จะต้องทำใจให้บริสุทธิ์ อาบน้ำชำระล้างสิ่งโสโครกให้สะอาดเสียก่อน แล้วก็นำดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ แล้วก็ระลึกเป็นการขอพรบารมี ให้ท่องได้ง่ายจำได้แม่น แล้วก็กราบตำรานั้น 3 ครั้ง ต่อจากนั้นก็เปิดขึ้นมาท่องจำ หนังสือนั้นอย่าเหยียบอย่าข้าม อย่านั่งทับหรือนอนทับ ขณะท่องอย่านอนหลับให้หนังสือทับคาอก จะทำให้ปัญญาเสื่อม เมื่อจะท่องหรือจะใช้พระคาถาใด ๆ ทุก ๆ พระคาถา จะต้องตั้ง นะโม 3 จบก่อน นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ความหมายของคำว่า“คาถา” แต่คาถาและวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบัน ยังมีนัยอีกหลายประการนัยแรกตรงกับความหมายของพระเวท ใช้อ้อนวอนเซ่นสรวงบูชาและขอพรอำนาจแม้แต่การเชื่อว่าเป็นรหัสที่ได้รับจาก เทพเจ้าเป็นพิชอักขระมีความหมายในตัวเองต้องท่องบ่นให้ถูกต้องทุกคำ ห้ามแก้ไขการเรียนควรเรียนจากปากเพื่อรักษาสำเนียงโบราณไว้ ซึ่งทำให้คาถาเพี้ยนอยู่ทุกวันนี้นัยที่สองเป็นสิ่งลึกลับ มีอำนาจและมีตัวตน ใช้ได้เหมือนเครื่องมือสำเร็จรูปคาถาเมตตาบริกรรมภาวนาแล้วเมตตา คาถาทรหดบริกรรมภาวนาแล้วอยู่คงคาถาทั้งปวงมีอาถรรพณ์ เรียนแล้วไม่เจริญ มีพลังสร้างโทษแก่ผู้ใช้ได้สามารถสูบตัวตนของอาคมได้ คล้ายกับตำนานอสูรสูบพระเวทของพระพรหมตอนหลับแผลงฤทธิ์วุ่นวายจนพระนารายณ์ ต้องอวตารไปปราบ เกิดเป็นคำว่าอาคมเข้าตัว (เข้าหัวใจเข้าสมอง) เป็นที่เกรงกลัวกันมากสำหรับคนเรียนคาถายุคใหม่ สับสนกับคำว่าของถ้าเข้าตัวแล้วจะทำให้อายุสั้น บ้าใบ้วิกลจริต ตาบอดฉิบหายตายโหง คล้ายกับผิดครู ซึ่งโบราณนั้นต้องการให้อาคมเข้าตัวอย่างที่สุดก่อนทำการใดๆ ท่านให้เรียกอาคม เรียกอักขระเข้าตัวก่อนเรียนวิชาต้องเรียนจนกว่าอาคมเข้าหนัง เนื้อ และกระดูกไม่มีใครเลยที่กลัวอาคมเข้าตัว แต่กลัวผิดครูถ้าใช้คาถาแล้วฉิบหายตายโหงทันตาแสดงว่าผู้เรียนนั้นใช้คาถา ไปในทางเลวอย่างแน่นอนเพราะกรรมไม่ใช่เพราะตัวอาคม การเรียกอาคมเข้าตัวนี้สนับสนุนว่า อาคม หมายถึงวิชาความรู้ แต่การสูบอาคมหรือคัดทิ้งแท้จริงเป็นการสูบปราณหรือลดพลังปราณคุ้มครองตัว ของฝ่ายตรงข้ามการจะทำได้ต้องมีปราณที่แข็งแกร่งทัดเทียมกันเป็นอย่างน้อย (ให้ศึกษาบทความเรื่องจิตและกายทิพย์) การให้โทษต่อสุขภาพร่างกายของปราณอย่างที่เรียกว่าอาคมเข้าตัวนั้นเกิดจาก การที่ปราณแตกกระจายหรือถูกกระแทกโดยปราณของผู้อื่นอย่างรุนแรงการกระทำ ย่ำยี การคัดของก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ แรกเริ่มของการเรียนไสยศาสตร์ทั่วไปจะได้รับคาถาไหว้ครูบทไม่ยาวนักเพื่อ ฝึกความจำ จากนั้นจะได้รับคาถายาวขึ้น จนกระทั่งถึงโองการและแม่บทคัมภีร์ต่างๆ เมื่อเข้าใจเรื่องการใช้ภูต ปราณ และจิต อย่างคล่องแคล่วแล้วคาถาไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่อาจจะมีความเคยชินว่าในการใช้พลังจิตต้องมีคาถาบูรพาจารย์มักยกคาถา สั้นๆมาใช้ ดังคำว่าสูงสุดคืนสู่สามัญจากกระบวนท่าเป็นไร้กระบวนท่า คาถาที่ได้รับตอนแรกเรียนเช่น พุทโธ นะมะพะทะนะโมพุทธายะ ฯลฯจึงเป็นคาถาที่บูรพาจารย์นำกลับมาใช้แสดงฤทธิ์จนเลื่องลือถึงทุกวันนี้ เคยพบหลายท่านที่คล่องแคล่วในการวางอารมณ์และถ่ายปราณไม่ได้ใช้คาถาใดในการ แสดงวิชาเลย เมื่อเข้าใจว่าการใช้คาถาเป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต ในตนสร้างความเชื่อมั่น และโน้มน้าวจิตตามวัตถุประสงค์ เราจะพบเห็นการแปลงคาถา เช่นสวาหะ แปลงเป็นสวาหาย สวาหับ สวาโหม ฯลฯ การนำคำพ้องเสียงมาใช้โดยไม่สนใจความหมายเช่น อุทธังอัทโธ แปลว่า เบื้องล่างเบื้องบน นำมาใช้ในวิชามหาอุด เป็นต้นดังนั้นหลักใหญ่ของการใช้คาถาคือความสม่ำเสมอของอารมณ์ในขณะนั้น( ไม่ใช่ความนิ่งไร้อารมณ์)ความเชื่อมั่นไร้ความลังเลสงสัยในกระแสทั้งสามและอำนาจของกระแสจิตในตนคาถาทั้งปวงจะขลังหรือไม่ขึ้นอยู่กับอุปาทานข้อนี้ และ ๑.อำนาจสัจจะ๒.อำนาจคุณพระและ ๓.อำนาจเคราะห์กรรม (พึงศึกษาบทความเรื่องคุณพระต่อไป)การใช้คาถาทั้งปวงเมื่อเข้าถึงคุณพระได้ ย่อมเกิดอานุภาพความยาวและความยากของภาษาที่ใช้มีผลต่อการเข้าถึงคุณพระพอ สมควรดังนั้นควรเลือกบทที่ชอบ จิตเกาะได้ดี อารมณ์สม่ำเสมอ หรือเกิดปีติ ********************** อาถรรพณ์เวท

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความตายในดินแดน โทราจา

เกาะสุราเวซี อินโดนีเซีย
ทานา โทราจาเป็นดินแดนที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขา ตั้งอยู่ตอนใต้ของเกาะสุราเวซีสันนิษฐานว่าชาวโทราจามีกำเนิดมาจาก กลุ่มชนในวัฒนธรรมดองซอน ประเทศเวียดนาม เดินทางมาทางอินโดนีเซีย ผ่านฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียตะวันออก ซึ่งคนกลุ่มนี้นำเอาเทคโนโลยีการทำเหล็ก และภาษาออสโตรนีเซียนมาด้วย ปัจจุบันดำรงชีพด้วยการทำนาตามไหล่เขา เลี้ยงสัตว์และทำป่าไม้ พืชสำคัญได้แก่ ข้าวโพด ถั่ว กาแฟ และพืชผัก
สังคมโทราจา แบ่งออกเป็น 3 ชนชั้น
- ชนชั้นสูง เรียกว่า โทกาบัว
- ชนชั้นกลาง เรียกว่า โทมากากา
- ชนชั้นล่าง เรียกว่า โทบูดา
การจัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย มีหลายแบบขึ้นอยู่กับสถานภาพ ทางสังคมของผู้ตาย จำแนกได้ดังนี้
1.ดีสิลลี่ เป็นพิธีกรรมของเด็ก หรือทารกของชนชั้นล่างของโทราจา ถ้าเด็กทารกตายในขณะที่ฟันยังไม่ขึ้น จะนำไปฝังในต้นไม้ใหญ่และมีการเซ่นหมูเพียง 1 ตัว
2. ดิสปาแสงบองกิ เป็นพิธีกรรมที่จัดเพียงวันเดียวสำหรับวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ มีการเซ่นด้วยควาย 1 ตัวและหมู 4 ตัว
3. ดิสปาทัลลังบองกิ เป็นงานศพของชนชั้นกลาง และใช้เวลา 3 วัน 3 คืน มีการเซ่นไหว้ควาย 4 ตัว และหมูจำนวนมากมาย ในวันที่สองของงานศพญาติของผู้ตาย จะนำของขวัญ มีการเต้นรำที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ตาย โดยเป็นการอำลาวิญญานของผู้ตาย และหวังว่าวิญญานจะไปสู่สุคติ
4. ดิปาลิมังบองกิ เป็นพิธีกรรมสำหรับชนชั้นกลาง จัดขึ้น 5 วัน 5 คืน ใช้ควายจำนวน 8 ตัวและหมูถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก
5. ดิปาปิตุงบองกิ เป็นพิธีกรรมสำหรับคนระดับล่างของชนชั้นสูง จัดงาน 7 วันมีการฆ่าควายจำนวน 10 ตัว และหมูจำนวนมาก
6. ดิราไป เป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อนที่สุด พิธีกรรมจะแบ่งเป็นสองช่วงแต่ละช่วงจัด 7 วัน และเว้นประมาณ 6 เดือนหรือ 1 ปี ในระหว่างพิธีกรรมคนในครอบครัวผู้ตายจะงดทานข้าว จะทานแต่ผลไม้และมันฝรั่ง การเซ่นไหว้จะใช้ควายจำนวน 12 ตัว หรือ 24 ตัว และหมูตัวใหญ่จำนวน100 ตัว และมีการเต้นรำ ชนวัว ชนไก่ ศพของคนตายจะถูกมัดคล้ายมัมมี่และเก็บไว้ในบ้าน การจัดงานในช่วงที่สองก็จะดำเนินการเช่นเดียวกับช่วงที่หนึ่ง เมื่อมีคนตาย ไม่ว่าจะเป็นบ้านใด ชาวโทราจาในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้าน จะไปช่วยงาน โดยนำอาหาร สัตว์ พืชผลไม้ เหล้าหมักจากมะพร้าว ฯลฯ ไปด้วย ซึ่งถ้าเป็นสัตว์ เช่น ควาย หมู จะมีการวัดขนาดก่อนที่จะทำการฆ่า เพราะครอบครัวผู้ตายจะต้องตอบแทนผู้ที่นำมาให้ในขนาดที่เท่ากัน
หลังจากเสร็จพิธีกรรมต่างๆ ก็จะเคลื่อนย้ายศพไปยัง สุสาน โดยสร้างเป็นบ้านจำลองแล้วนำศพไปไว้ที่สุสาน ซึ่งในสังคมโทราจาจะมีหลายประเภท เช่น
- ชนชั้นสูง จะฝังในช่องหินตามหน้าผา ส่วนใหญ่เป็นสุสานครอบครัวมีตุ๊กตาไม้รูปผู้ตายมาวางไขว้ไว้หน้าช่องหินนั้น การสลักหินจะใช้เวลา 6 เดือน
- ส่วนชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง จะนำศพมาไว้ภายในถ้ำ วางซ้อนกันแล้ว นำดอกไม้วางไว้เพื่อเซ่นไหว้ผู้ตาย
(แหล่งที่มา: ความตายในดินแดนโทราจา เกาะสุรีเวซี อินโดนีเซีย ,รัศมี ชูทรงเดช คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปกร , ศิลปวัฒนธรรม)30 ก.ค. 53.14.29น.
อาถรรพณ์เวท